กด Like ไป1ทีเพื่อน
Blog Archive
-
▼
2011
(16)
-
▼
มีนาคม
(12)
- ยานอนหลับ
- 7 ความเข้าใจผิด ?จริงป่าวว้า?
- การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่นะฮะ
- Room3.50บาท - เบา เบา
- ลืมไปก่อน โคมปะการัง ft. เกรียน peace
- หมวก มะ??
- Eminem - Love The Way You Lie ft. Rihanna (Parody ...
- No Woman, No Cry -Bob Marley
- อัลพราโซแลม / เบนโซไดอะซีปีน โดย. กรมสุขภาพจิต
- อัลบั้มทั้งหมดของ Avenget
- ประวัติ Avenged Sevenfold ( A7X )
- ประวัติ Kurt Cobain
-
▼
มีนาคม
(12)
ป้ายกำกับ
- ชานนท์คนกันเอง (1)
- Billionare (1)
- Music (5)
ยานอนหลับ
หลาย ๆ คนคงเคยพึ่งพายานอนหลับมาบ้างไม่มากก็น้อย เวลาเกิดอาการนอนไม่หลับ แต่ขอแนะนำว่าอยู่ให้ห่าง ๆ ยานอนหลับไว้จะดีกว่า แม้ว่ายานั้นจะได้รับมาจากคุณหมอก็ตาม
คนที่ใช้ยานอนหลับทุก ๆ ครั้ง จะทำให้เกิดนิสัยการใช้ยาได้และหากวันใดที่ไม่ได้ใช้ยานอนหลับก็จะไม่สามารถหลับได้เองตามธรรมชาติได้อีกเลย นั่นยิ่งเท่ากับว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย กลับทำให้อาการนอนไม่หลับฝังรากลึกลงไปอีก
ยานอนหลับนั้นควรใช้ในบางสถานการณ์ ตามที่คุณหมอแนะนำ แต่คุณเองก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ลองหาวิธีอื่น ๆ มาทดลองใช้ทดลองทำอย่างวิธีตามธรรมชาติ เช่น การออกกำลังกาย ผลที่ได้นั้นคุ้มแสนคุ้ม สุขภาพแข็งแรงขึ้น ให้คิดถึงเสมอว่ายานอนหลับนั้นถึงแม้จะช่วยให้คุณหลับลงได้ แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพของคุณอย่างแน่นอน
7 ความเข้าใจผิด ?จริงป่าวว้า?
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1900 เชื่อกันว่าสมองของคนเราทำงานเพียงแค่ 10% ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ใครคนหนึ่งกุขึ้น เพื่อที่จะต้องการครอบงำกลุ่มคนหมู่มาก กระทั่งวิทยาการก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสมองจากภาพสแกน ก็ไม่พบว่ามีสมองส่วนไหนที่อยู่นิ่งเฉย หรือว่ามีเซลล์สมองในบริเวณไหนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และจากการศึกษากระบวนการทางเคมีของเซลล์สมองบ่งชี้ว่าไม่มีสมองบริเวณไหนที่ไม่ทำงาน และจากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองยังบ่งชี้ว่าสมองที่ถูกทำลายเกือบทั้งหมดนั้นจะมีบริเวณจำเพาะที่เมื่อถูกทำลายแล้วจะมีผลต่อการสมรรถภาพร่างกาย
2.ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
"ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าคนเราต้องการน้ำมากมายขนาดนั้น" ดร.ฟรีแมนระบุ ซึ่งเธอคาดว่าความเชื่อนี้มีที่มาจากสภาโภชนาการของสหรัฐฯ เมื่อปี 2548 ที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคของเหลววันละ 8 แก้ว แต่ในปีต่อๆ มาหลังจากนั้น คำว่า "ของเหลว" จำกัดอยู่เฉพาะแค่ "น้ำเปล่า" ไม่ได้หมายรวมถึงน้ำผัก ผลไม้ กาแฟ หรือว่าของเหลวอื่นๆ เข้าไปด้วย
อีกหนึ่งต้นตอของความเชื่อนี้น่าจะมาจากเฟรเดอริค สแทร์ (Frederick Stare) โภชนากรที่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งครอบคลุมทั้งน้ำเปล่า ชา กาแฟ นม เบียร์ และซอฟดิงก์อื่นๆ ต่อมาการแนะนำที่ปราศจากข้อมูลอ้างอิงของสแทร์ถูกหักล้างด้วยข้อมูลของไฮนซ์ วาลติน (Heinz Valtin) ที่รายงานไว้ในวารสารอเมริกันเจอร์นัลออฟฟิสิโอโลจี (American Journal of Physiology) ที่ว่าการบริโภคนม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ เป็นประจำในแต่ละวันเท่านี้ร่างกายก็ได้รับของเหลวเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ในทางตรงกันข้าม การดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อเกิดภาวะสารน้ำในร่างกายมากผิดปกติจนเกิดเป็นพิษ หรือที่เรียกว่า "น้ำเป็นพิษ" (water intoxication)
3.ตายไปแล้วแต่เล็บและเส้นผมยังคงงอก
ผู้แต่งหนังสือเรื่อง "แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" (All Quiet On The Western Front) บรรยายไว้ว่าเล็บของเพื่อนคนหนึ่งยาวขึ้นหลังจากพิธีฝังศพผ่านไปแล้ว ส่วนจอห์นนี คาร์สัน (Johnny Carson) นำความเชื่อนี้มาเขียนเป็นเรื่องขำขันจนกลายเป็นความเชื่ออมตะว่า หลังจากตายไปแล้ว 3 วัน ผมและเล็บของเราจะงอกใหม่
แพทย์ส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่า ที่จริงแล้วขณะที่ศพกำลังแห้งลง เนื้อเยื่อส่วนที่นุ่มอย่างผิวหนังก็จะหดตัว ทำให้เผยชิ้นส่วนของเล็บมากขึ้น ทำให้ดูว่ายาวออกมา เช่นเดียวกันเส้นผม ซึ่งจะสังเกตเห็นผิวหนังหดตัวได้น้อยกว่า อย่างไรก็ดีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ผมและเล็บยาวนั้นไม่มีทางทำงานหลังจากเจ้าของร่างสิ้นใจไปแล้วเป็นแน่
4.ผมหรือขนงอกเร็วกว่าเก่าเมื่อโกน แถมหยาบและสีเข้มขึ้นด้วย
ปี 2471 นักวิทยาศาสตร์ทดลองโกนผมแล้วเปรียบเทียบผมที่งอกใหม่กับผมที่ไม่ได้โกน ผลปรากฏว่าผมที่งอกขึ้นมาแทนผมที่ถูกโกนไปก่อนหน้านั้นไม่ได้มีสีเข้มหรือเส้นหนา หรืองอกเร็วไปกว่าผมปกติเลย การทดลองครั้งหลังๆ ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วเมื่อผมถูกโกนและงอกใหม่เป็นครั้งแรก จะยังเป็นเส้นผมทื่อๆ ตรงส่วนปลาย แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ปลายผมที่เคยแข็งทื่อก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพและอ่อนนุ่มขึ้น ส่วนที่มองเห็นเป็นสีเข้มกว่าปกติ เนื่องจากว่าในตอนแรกผมเส้นนั้นยังไม่ถูกแดดเผาทำลายให้สีซีดจางลง
5.อ่านหนังสือในที่แสงน้อยทำให้สายตาเสีย
เรื่องนี้เป็นที่เชื่อถือกันอย่างแพร่หลาย และผู้ใหญ่ก็มักจะห้ามไม่ให้เด็กๆ อ่านหนังสือในที่มืดหรือที่ที่มีแสงน้อย มิฉะนั้นแล้วจะสายตาสั้นและต้องสวมแว่น เป็นต้น ความเชื่อนี้น่าจะมาจากจักษุแพทย์ที่บอกว่าหากใช้สายตาในที่แสงสว่างน้อยกว่าปกติจะมีผลต่อการรับภาพของประสาทตา ทำให้อัตราการกระพริบตาลดลง ตาแห้งและระคายเคือง
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนักวิจัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตายังไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่าการอ่านหนังสือในที่มืดจะทำลายสุขภาพตาอย่างถาวร แต่สามารถทำให้ดวงตาย่ำแย่และการมองเห็นด้อยลงเป็นเวลาชั่วครั้งชั่วคราวได้
6. รับประทานไก่งวงทำให้ง่วงนอน
เดิมทีแพทย์และนักวิจัยต่างก็เชื่อว่าหากรับประทานไก่งวงแล้วจะรู้สึกง่วงนอน แต่พบว่าสารทริปโตแฟน (tryptophan) ในไก่งวงนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผู้ที่รับประทานไก่งวงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ทว่าในไก่งวงไม่ได้มีทริปโตแฟนมากไปกว่าไก่ทั่วไปหรือเนื้อวัวเลย มีเท่าๆ กันประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 115 กรัม ขณะที่แหล่งโปรตีนอื่นๆ อย่างเนื้อหมูหรือชีสมีทริปโตแฟนมากกว่าไก่งวงเสียอีกเมื่อเทียบเป็นน้ำหนัก เพียงแต่ว่าผู้คนนิยมบริโภคไก่งวงกันมากเป็นพิเศษในช่วงวันหยุด และยังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย เหตุนี้จึงทำให้รู้สึกง่วงและหลับง่ายกว่าปกติ
นอกจากนี้แพทย์ยังนำกลไกในร่างกายมาอธิบายได้ว่าอาการง่วงนอนมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาหารมื้อนั้นเป็นเนื้อสัตว์เสียส่วนใหญ่ หรือมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก จะกระตุ้นให้รู้สึกง่วงนอนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ลดลง
7. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในโรงพยาบาล เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่พบว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น เครื่องควบคุมการให้สารละลายในผู้ป่วย (infusion pump), เครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของระบบหัวใจ (cardiac monitor)
ทว่าขณะที่ยังไม่มีรายงานใดๆ ยืนยันถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือในโรงพยาบาล ในปี 2545 มีการเผยแพร่เรื่องที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วปรากฏว่าเครื่องควบคุมการให้สารอะดรีนาลีน (adrenaline) ทำงานผิดปกติ หลังจากนั้นวอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) ก็นำก็รายงานมากว่า 100 รายงานที่ระบุว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์ในช่วงก่อนปี 2536 ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาล
เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาวิจัยถึงเรื่องดังกล่าวในประเทศอังกฤษ พบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์เพียง 4% เท่านั้น และต้องอยู่ห่างจากอุปกรณ์นั้นภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร และจากการทดสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ 300 ครั้งในห้องพักพื้น 75 ห้อง ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย ในทางตรงกันข้ามพบว่าแพทย์ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนสามารถสื่อสารได้ชัดเจน และลดความผิดพลาดได้มากยิ่งขึ้น
การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่นะฮะ
การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)
2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน
3. ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้างเป็นเวลา 7 วัน)
*ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริต่อกัน
ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยกและแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด (จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก,ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก,อีกทั้งที่จังหวัด ราชบุรี น่าน แพร่ อ.ร้องกวาง)
5. คลื่นยักษ์จากทะเล
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ Virusteria,อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันทีภายใน 6 วัน
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมากก่อน
8. อดอยากขาดแคลนอาหาร
การเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์(จำเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่มาได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนอาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่างเช่น เทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เครียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
การดุแลตัวเองในช่วงวิกฤติ
1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จักก็ตาม
2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น
3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลียงไม่ได้ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพ จะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น คนที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดนเด็ด ขาด
5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษเช่น งูพิษ จระเข้
10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง
การเตรียมจิตวิญญาณ
1. ชำระกรรมให้เบาบางโดย หยุดโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้น ต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5. ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด
การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
1. ได้ยินเสียงใด ให้ละวางสิ่งนั้น รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ “ตายก่อนตาย” (รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น)
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (ระยะ 2 )
ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงาย และดูหดหู่ สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่า ไม่ทราบ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้
เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อย ๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาดและอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมาก ภัยพิบัติจึงจะสงบ
ต่อไปที่จะวิบัติหนัก ๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น
สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของกทม เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะ แก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ สัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น
ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรีที่ในไม่ช้า (ช่วงท้ายของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพล ที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
เราค่อนข้างมั่นในว่า ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจและไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง (ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด เท่าที่ทราบต่อไป มหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา
ในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกอย่างที่พวกยิงเขาคิดจะครองโลกกัน นั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอกเพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว
เหตุที่เกิดในภาคใต้ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย
ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่า อย่างอิสลามและคริสต์นั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิมหรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้นก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยNo Woman, No Cry -Bob Marley
-Bob Marley
No, woman, no cry;
No, woman, no cry;
No, woman, no cry;
No, woman, no cry.
Said - said - said: I remember when we used to sit
In the government yard in trenchtown,
Oba - obaserving the ypocrites
As they would mingle with the good people we meet.
Good friends we have, oh, good friends weve lost
Along the way.
In this great future, you cant forget your past;
So dry your tears, I seh.
No, woman, no cry;
No, woman, no cry.
ere, little darlin, dont shed no tears:
No, woman, no cry.
Said - said - said: I remember when-a we used to sit
In the government yard in trenchtown.
And then Georgie would make the fire lights,
As it was logwood burnin through the nights.
Then we would cook cornmeal porridge,
Of which Ill share with you;
My feet is my only carriage,
So Ive got to push on through.
But while Im gone, I mean:
Everythings gonna be all right!
Everythings gonna be all right!
Everythings gonna be all right!
Everythings gonna be all right!
I said, everythings gonna be all right-a!
Everythings gonna be all right!
Everythings gonna be all right, now!
Everythings gonna be all right!
So, woman, no cry;
No - no, woman - woman, no cry.
Woman, little sister, dont shed no tears;
No, woman, no cry.
I remember when we used to sit
In the government yard in trenchtown.
And then Georgie would make the fire lights,
As it was logwood burnin through the nights.
Then we would cook cornmeal porridge,
Of which Ill share with you;
My feet is my only carriage,
So Ive got to push on through.
But while Im gone:
No, woman, no cry;
No, woman, no cry.
Woman, little darlin, say dont shed no tears;
No, woman, no cry.
Eh! (little darlin, dont shed no tears!
No, woman, no cry.
Little sister, dont shed no tears!
No, woman, no cry.)
คำแปล
ไม่... คุณผู้หญิง อย่าร้องไห้ ๆๆๆ
ฉันยังจำวันที่เราเคยนั่งที่สนามของรัฐในเมืองเทรนช์ทาวน์ (ในจาไมกา)
เฝ้าสังเกตพวกหน้าไหว้หลังหลอก
ที่มักจะอยู่ปนกับคนดีๆที่เราพบ
เพื่อนดีๆที่เรามี และ เพื่อนดีๆที่เราสูญเสีย ไปตลอดเส้นทางเดิน
มีอนาคตที่แสนยิ่งใหญ่รออยู่ แม้เธอไม่สามารถลืมอดีตของเธอได้
ดังนั้น เช็ดน้ำตาให้แห้ง
ไม่...คุณผู้หญิง อย่าร้องไห้ๆ
สาวน้อย...อย่าให้น้ำตาไหลออกมา
ไม่...คุณผู้หญิง อย่าร้องไห้
ฉันจำวันที่เราเคยนั่งที่สนามของรัฐในเมืองเทรนช์ทาวน์
จากนั้น จอร์จี้จุดไฟ ไฟที่เผาท่อนไม้ให้สว่างตลอดทั้งคืน
แล้วเราก็ปรุงแป้งข้าวโพดต้ม
ที่นั้นซึ่งฉันได้แบ่งปันกับเธอ
ฉันมีเพียงเท้าที่ใช้เดินทาง
ดังนั้นฉันต้องเดินต่อไป
แต่เมื่อฉันเดินไป ฉันหมายความว่า
ทุกอย่างจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
เชื่อฉัน.... ทุกสิ่งจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
ทุกอย่างจะดีเอง
ไม่...คุณผู้หญิง อย่าร้องไห้ๆ
สาวน้อย...อย่าให้น้ำตาไหลออกมา
ไม่...คุณผู้หญิง อย่าร้องไห้
Credit : Everythings gonna be all right
ถึงลุงบ็อบ มาเลย์์จะจากไปแล้วแต่เพลงทุกเพลงที่เขาได้ขับร้องจะยังคงอยู่ในใจของ Rastafarain และทุกคน ตลอดไป...........
"Get up Stand up For your right!"
อัลพราโซแลม / เบนโซไดอะซีปีน โดย. กรมสุขภาพจิต
กลไกการออกฤทธิ์
เภสัชจลนศาสตร์
ข้อบ่งใช้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์เท่านั้น
ข้อควรระวังในการใช้ยา
ฤทธิ์ข้างเคียงของยา
การพึ่งพายา (drug dependence)
ส่วนยาที่เป็นข่าวมีชื่อและข้อมูลแยกออกมาให้เห็นชัดเจนดังนี้คือ
เอกสารอ้างอิง: มาโนช หล่อตระกูล. คู่มือการใช้ยาทางจิตเวช, ยาคลายกังวล, พิมพ์ครั้งที่ 2 , กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน 2547.
อัลบั้มทั้งหมดของ Avenget
วางจำหน่าย: Mar 19, 2002
สังกัด: Hopeless Records HR660
1. To End The Rapture
2. Turn The Other Way
3. Darkness Surrounding
4. The Art of Subcouncious Illusion
5. We Come Out at Night
6. Lips of Deceit
7. Warmness on the Soul
8. An Epic of Time Wasted
9. Breaking their Hold
10. Forgotten Faces
11. Thick and Thin
12. Streets
13. Shattered By Broken Dreams
Waking The Fallen
วางจำหน่าย: Aug 26, 2003
สังกัด: Hopeless Records HR671
Track List :
1. Waking The Fallen
2. Unholy Confessions
3. Chapter Four
4. Remenissions
5. Desecrate Through Reverence
6. Eternal rest
7. Second Heartbeat
8. Radiant Eclipse
9. I Won't See You Tonight Part 1
10. I Won't See You Tonight Part 2
11. Clairvoyant Disease
12. And All things Will End
City of Evil
วางจำหน่าย: Jun 7, 2005
สังกัด: Warner Bros. Records
Track List :
1. Beast & The Harlot
2. Burn It Down
3. Blinded In Chains
4. Bat Country
5. Trashed & Scattered
6. Seize The Day
7. Sidewinder
8. The Wicked End
9. Strength Of The World
10. Betrayed
11. M.I.A.
AVENGED SEVENFOLD
วางจำหน่าย: Oct 30 , 2007
สังกัด: Warner Bros. Records
Track Listings :
1. Critical Acclaim
2. Almost Easy
3. Scream
4. Afterlife
5. Gunslinger
6. Unbound (The Wild Ride)
7. Brompton Cocktail
8. Lost
9. Little Piece Of Heaven
10. Dear God
Live in the LBC & Diamonds in the Rough
วางจำหน่าย: Nov 5, 2008
สังกัด: Warner Bros. Records
Track Listings : Live in the LBC (Live DVD)
1.Critical Acclaim
2.Second Heartbeat
3.Afterlife
4.Beast and the Harlot
5.Scream
6.Seize the Day
7.Walk
8.Bat Country
9.Almost Easy
10.Gunslinger
11.Unholy Confessions
12.A Little Piece of Heaven
ประวัติ Avenged Sevenfold ( A7X )
เอเวนเจดเซเวนโฟลด์ Avenged sevenfold (A7X) ได้ก่อตั้งวงขึ้นเมื่อปี 1999 โดยมีอัลบั้มแรกชื่อว่า Sounding the Seventh Trumpet โดยอัลบั้มนี้ได้เกิดขึ้น ตั้งแต่สมาชิกทั้งหมดของวงนั้นยังอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ได้ออกวางขายกัับสังกัด Good Life Recordings หลังจากนั้น Synyster Gates ได้เข้ามาร่วมกับทางวงและทำ การอัดเสียงเพลง To End The Rapture ใหม่โดยมี Gates เล่นในเพลงนี้ด้วย และได้ วางขายโดย Hopeless Records จากนั้นอัลบั้มต่อมามีชื่อว่า Waking the Fallen ซึ่งยังอยู่กับ Hopeless Records
เช่นเดิม อัลบั้มนี้มาแรงจนได้รับคำชมเป็นอย่างมาก จากนิตยสารโรลลิงสโตน หลังจากนั้นไม่นานเอเวนเจด เซเวนโฟลด์ ( A7X ) ก็ได้เซ็นสัญญากับ Warner Bros. Records.
ใน DVD All Excess โปรดิวเซอร์ของวงในอัลบั้มที่ 2 และ 3 “Mudrock” ได้บอกไว้ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะมีการทำอัลบั้ม Waking the fallen นั้น M.Shadows ได้พูดคุยกับเขาไว้แล้วว่าต้องการที่จะให้อัลบั้มนี้ใช้การอัดเสียงแบบ Scream ครึ่งนึง ร้องปกติครึ่งนึง และอัลบั้มต่อไปจะไม่ใช้เสียงร้องแบบ Scream (City of Evil) แต่ว่าภายหลัง Shadows ก็ฝึกร้อง Scream ได้ดีขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ที่เค้าต้องเข้ารับการผ่าตัด และยังได้รู้มาช่วยฝึกด้านการใช้เสียงให้ด้วย นั่นคือ “Ron Anderson” ผู้ซึ่งเคยทำงานร่วมกับศิลปินมากมาย อย่างเช่น กลุ่ม Various Artists จาก Axl Rose / Kylie Minogue / Chris Cornell / My Chemical Romance.
(ปัจจุบันนี้ได้ออกจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว)
Shadows ได้บอกไว้ว่า “อัลบั้มนี้จะไม่ใช่ภาคต่อของทั้ง 2 อัลบั้ม (Waking the fallen, City of evil) แต่จะมีสิ่งที่น่าสนใจมาเซอร์ไพซ์ให้แฟนๆ
ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทำเพลงในห้องอัดเสียง จะเสร็จสิ้นออกมาก็ประมาณเดือนสิงหาคมปี 2007 และจะมีการเริ่มออกทัวร์คอนเสริต์ในปี 2007
จะมีการทัวร์ในแถบเอเชียด้วย คือประเทศอินโดนีเซีย, สิงค์โปร์, ญี่ปุ่น,ไทย
ในวันที่ 9 สิงหาคม 2007 รายชื่อเพลงจากอัลบั้มใฟม่จะถูกลงบอกไว้ในเว็ป Myspace ของทางวง และในวันที่ 17 สิงหาคม 2007 ก็มีการปล่อย Single แรกออกมาเปิดตัว ชื่อว่าเพลง “Critical Acclaim”
ข้างหนัก ใช้เสียงว๊ากในเพลงเป็นส่วนใหญ่ จึงยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างแต่แล้วในที่สุดพวกเค้าเริ่มเป็นที่ล่ำลือแพร่หลาย
ตั้งแต่ี่ที่ Shadow ได้ให้สัมภาษณกับนิตยสาร Revolver ว่าเส้นเสียงของเค้ามีปัญหา(เส้นเลือดในลำคอแตก)จึงจำเป็นจะต้องเปลี่ยนสไตล์ของเพลงของพวกเค้า. การที่จะรักษาเส้นเสียงนี้ให้ดีขึ้น Shadows จะต้องไม่ใช้เสียง (แบบ Scream)หรือการว๊ากนั่นเอง อย่างน้อย 5 ปี !
Synyster Gates หรือ Brian Elwin Haner, Jr. เกิดเมื่อวันที่ July 7 , 1981 ได้เข้ามา
ร่วมกับ A7X ในปี 2001 หลังจากที่วง
ได้ปล่อย อัลบั้มแรกของวง Sounding the Seventh Trumpet ไปแล้วโดยเข้ามาเล่น
ในตำแหน่งกีตาร์รี๊ด
พ่อของเขา Brian Haner Srเป็นนักดนตรี และได้ถูกขอให้ไปเล่นเพลง
ในเวอร์ชั่นอคูสติกของอัลบั้ม
ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Sidewinde ใน อัลบั้มCity of Evil Synyster Gates ตอนเปนเด็ก ได้เข้าเรียนที่Ocean View High School ณ Huntington Beach, California ต่อจากนั้นก้อได้ เข้าเรียนที่ Musicians Institute ใน Hollywood Synyster Gates เป็นกีต้าร์ระดับแนวหน้าของ โลกในยุคนี้เลยทเดียว ฝีมือของเขานั้น ถือว่าีเข้าขั้นเทพ!! ลอง search หาดูได้ครับ
Vengeance
Zacky Vengeance หรือ Zachary James Baker เป็นมือกีตาร์ของA7Xเล่นมือซ้ายด้วย เขาเกิดที่ Orange County แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1981 ในวัยเด็กๆพ่อแม่ ได้ส่งเค้าอยู่ที่ อียิป กับ นิวยอร์คมาหลาย ปี แต่พ่อแม่เค้าก้อพากลับมาอยู่ที่ Orange County เค้าได้เข้าเรียนประถมใน ร.ร. รัฐบาล แต่ต่อมาได้ย้ายไปที่ Huntington Beach High ทำให้เค้าได้พบกับ Matt Sanders หรือ M.Shadows, Jimmy Sullivan หรือ The Rev และ Brian Haner Jr หรือ Synyster Gates
The Rev
The Rev เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์1981 เข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับ M.Shadows แต่ว่าถูกไล่ ออกไปตอน ป.2!! อัลบั้มแรกของเค้าออกมาเมื่อเค้าอายุ 18 ปี นอกจากจะอยู่กับ A7X แล้วเค้ายังมี Side Project ชื่อว่าวงPinkly Smooth กับ Synyster Gates อีกด้วย และเปนส่วนๆหนึ่งของวง Surf Punk ชื่อว่า Ballistico. และเขายังเคยเปนมือกลองให้แก่วง สกาชื่อว่า Suburban Legends และ Justin Sane มือเบสเก่าก้อยังเคยอยุ่ในวงนั้นด้วย The Rev นั้นเปนชื่อย่อมาจาก The ReverendTholomew Plague
Johnny Christ
Johnny Christ หรือชื่อจริงๆว่า Jonathan Lewis Seward เกิดวันที่ 18/11/1984 เปนมือเบสคนที่สามของวงหลังจาก Dameon Ash and Justin Sane มือเบส2คนที่แล้วลาออกไปโดยได้เริ่มมาเล่นกับ A7X ในอัลบั้ม Waking the fallen. Christ นั้นมักจะขึ้นชื่อในผมทรงโมฮอวก์ ซึ่งไม่นานมานี้ เขาได้โกนออก และย้อมเปนสีบลอนด์และดำ จาก สี ขาว เขียว และ แดง Johnny เปนสมาชิกวงที่อายุน้อยที่สุดและเตี้ยที่สุด Johnny เปนน้องชายของเพื่อนที่โรงเรียนของ Synyster Gates โดยเค้าจำได้ว่า ตอนอยู่ไฮสคูลนั้น ได้ถูก Syn กับ The Rev แกล้งตลอด หลังจากนั้น เมื่อ A7X ได้ถูกตั้งขึ้นมา เค้ามักจะเดินมาที่โรงรถที่วงจะซ้อม กันและพยายามที่จะทำให้คนอื่นในวง ประทับใจในทักษะการเล่นเบสของเขา
ประวัติ Kurt Cobain
บทเพลงของเขารวมถึงในส่วนของดนตรีนั้นเขาเล่นมันออกมาจากใจและอารมณ์ดิบที่รอการปลดปล่อยออกมาทางบทเพลง บุคคลผู้นี้คือคนที่มาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของดนตรีอีกหนึ่งหน้า และโลกจะต้องจดจำเขาผู้นี้ไปตลอดกาล เขาคือ Kurt Cobain ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวของ Kurt นั้นมันมาอย่างรวดเร็วมากนั้นตอนที่เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน Kurt เกิดเมื่อวันที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ ปี 1967 ในเมือง Aberdeen รัฐ Washington.ในช่วงวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ช่างกระตือรือร้นแทบทุกเรื่อง Kurt เป็นเด็กที่น่ารักชอบเล่นสนุกอย่างเด็กๆทั่วไป แต่พอเมื่อเขาย่างเข้าอายุ 7 ขวบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาเริ่มที่จะเปลี่ยนจุดแรกที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ สภาพครอบครัวต้องแตกแยก พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางเดินที่จะอยู่ด้วยกันและอีกจุดคือพ่อและแม่ของเขาส่งเขาไปอยู่กับญาติ และจุดเหล่านี้แหละที่เริ่มทำให้ Kurt เริ่มที่จะแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป และเด็กหลายๆคนก็มักที่จะเจอปัญหานี้เช่นกันนั้นคือ การขาดความอบอุ่นและการใส่ใจดูแล หากใครได้สังเกตเห็นเนื้อเพลงของ Nirvana ที่ชื่อว่า Silver เพลงนี้แหละครับที่เขาแต่งมันออกมาเพื่อสะท้อนชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ชีวิตของ Kurt เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเก็บตัวเงียบๆไม่ค่อยพูดคุยกับใครมากนัก เขาเริ่มเกลียดโรงเรียนและเริ่มที่จะไม่ไปเรียน
Kurt เริ่มหันมาสนใจศิลปะและชอบวาดรูปแทนการไปเรียนหนังสือ และอีกสิ่งในชีวิตของเขาที่ชอบและขาดไม่ได้เลย อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งด้วย นั้นคือ ? ดนตรี ? ในช่วงแรกนั้นเขาเริ่มฟังเพลงของวง The Beatles และ The Monkees ต่อมาจุดเปลี่ยนแปลงและต้นกำเนิดของ Nirvana เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จักกับวงอย่าง Black Sabbath, The Sex Pistols และวง The Clash เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวงพวกนี้จะมีความเป็นพังก์และความดิบของดนตรีร็อกอยู่สูง ดังนั้นดนตรีเหล่านี้จึงสะท้อนออกมาทางบทเพลงของ Nirvana อยู่เยอะที่เดียว และเมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเขา Kurt ก็ได้ซื้อกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตและเขาก็เริ่มหัดและทกลองเล่นในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากมือกีต้าร์คนอื่นๆ และKurt ยังได้ก่อตั้งวงขึ้นมาหนึ่งวงและตั้งชื่อมันว่า Melvins และ Kurt ก็ได้ทำสิ่งหนึ่งที่คนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กล้าทำและเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ต่างก็คิดไม่ถึงนั้คือการที่เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนก่อนที่จะจบในอีกไม่นานเพื่อที่จะมาเล่นดนตรี แต่ต่อมาทุกอย่างก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่องานในสายดนตรีมันไม่ได้ยืนยาวอย่างที่เขาคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Kurt ก็ไม่ได้ท้ออะไรเกี่ยวกับมันมาก
มันกลับยิ่งเป็นแรงส่งให้เขาตั้งวงขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งวงซึ่งเป็นวงดนตรีสามชิ้น และใช้ชื่อว่า ? Nirvana ? ในยุคแรกของ Nirvana มีสมาชิกหลักๆก็คือ Kurt ที่รับตำแหน่งร้องและเล่นกีต้าร์ Krist Novaselic รับตำแหน่งมือเบส ในส่วนของมือกลองนั้นยังต้องคอยสลับสับเปลี่ยนมือกลองเข้ามาใหม่อยู่เป็นเรื่องประจำ และแล้วในที่สุดความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงเมือ่อัลบัมชุดแรกได้ออกมาในชื่อชุด Bleach เมื่อปี 1989 พวกเขาเริ่มออกทัวร์ แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่นักแต่ Nirvana ก็มีแฟนเพลงอยู่กลุ่มหนึ่ง และซิงเกิ้ลที่สองก็ได้ออกมาแต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จึงส่งผลให้ทางวงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสังกัดอยู่ และก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างเริ่มจากพวกเขาได้อยู่สังกัด Geffen การเปลี่ยนแปลงที่สองก็คือ Nirvana ได้สมาชิกใหม่และเป็นสมาชิกถาวรจนถึงปัจจุบันนั้นคือ Dave Grohl ซึ่งมารับตำแหน่งมือกลอง
การเปลี่ยนแปลงอย่างสุดท้ายถือว่าเป็นการเปลี่ยนวงการดนตรีทั้งโลกเลยก็ว่าได้เพราะพวกเขาได้ออกอัลบัมที่กลายเป็นอมตะไปซะแล้วสำหรับโลกนี้นั้นคืออัลบัมชุด Nevermind ซึ่งอัลบัมชุดนี้นอกจากจะเปลี่ยนกระแสดนตรีแล้วก็ยังมีเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง "Smells Like Teen Spirit " , "Come as You Are" และ "Something in the Way " พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กรุ่นใหม่และไม่มีทางที่จะปฎิเสธได้เลยว่าวัยรุ่นที่หัดเล่นกีต้าร์ในยุคนั้นจะไม่เคยแกะเพลงของเขาเล่น และความสำเร็จของ Nirvana ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้ออกรายการ MTV's Headbanger's Ball และ NBC's Saturday Night Live. Nirvana เริ่มออกทัวร์กันอย่างหนักแบบประมาณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จของพวกเขาที่เข้ามาถึงจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็มีเรื่องที่เลวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อ Kurt เริ่มที่จะติดยาเสพติดอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีนหรือเฮโรอีน หลายต่อต่อหลายครั้งที่ Kurt ให้สัมภาษณ์เขามักจะบอกว่าเขาต้องใช้ยาพวกนี้เพื้ฃ่อที่จะระงับอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจากโรคกระเพาะ และนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังตามมา ปี 1992 Kurt ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับ Courtney Love ศิลปินสาวแห่งวงร็อกอย่าง Holeและแล้วทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวหนึ่งคน ปี 1993 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสูญเสียเมื่อ Kurt เริ่มที่จะหันหน้าเข้าหาเฮโลอีน เขาติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน และแล้วงานต่างๆที่เข้ามาหลายๆครั้ง Kurt ก็ทำมันเสีย บางครั้งเขาก็เล่นแบบไม่จบคอนเสริต และในปีนี้ Nirvana ก็ได้ออกอัลบัมมาอีกหนึ่งชุดนั้นคือ In Utero และอัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจากเป็นอัลบัมที่บันเสียงในสตูดิโอเป็นชุดสุดท้ายของ Nirvana ปี 1994 Nirvana ได้เล่นคอนเสริตที่ดีอีกหนึ่งคอนเสริตนั้นคือ MTV unplugged และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยนั้นก็คือ Kurt ตัดสินใจใช้ปืนลูกซองยิงกรอกปากตัวเอง และศพของ Kurt ถูกพบหลังจากการตายสามวัน นั้นคือวันที่ 8 เมษายน ปี 1994 ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของวงการดนตรีอีกครั้ง